รู้ไว้ปลอดภัยกว่า! โรคไวรัสตับอักเสบ ดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกวิธี
ศัตรูเงียบที่คุกคามตับของคุณ บางทีก็เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เคยสงสัยไหมว่าทำไมการดูแลตับจึงสำคัญมาก คำตอบหนึ่งก็คือ ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยคุกคามเงียบที่ส่งผลกระทบต่อตับของเราอย่างร้ายแรงนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นโรคไวรัสตับ จะมีวิธีดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกวิธี เรามาดูกัน
ไวรัสตับอักเสบ คืออะไร
ไวรัสตับอักเสบ คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบของตับอันเนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งไวรัสตัวนี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้ตับอักเสบและทำงานผิดปกติไป หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตับแข็ง มะเร็งตับ และเสียชีวิตได้
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับโรค ไวรัสตับอักเสบ
เนื่องจากโรคไวรัสตับ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยส่วนมาก ผู้ป่วยมักจะไม่รู้ตัว อาการจะแสดงในช่วงท้ายๆ ที่ป่วยมากขึ้น หากเกิดการติดเชื้อ ดังนั้น เราควรมาทำความรู้จักกันก่อน ว่าโรคไวรัสตับ มีชนิดไหนบ้าง ติดต่อได้อย่างไร อาการเป็นแบบไหน ทั้งภาวะแทรกซ้อน และการป้องกันเบื้องต้น
ชนิดของโรคไวรัสตับและการติดต่อของโรค
- ไวรัสตับชนิดเอ (Hepatitis A): ติดต่อผ่านการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มปนเปื้อนเชื้อ มักพบในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี
- ไวรัสตับชนิดบี (Hepatitis B): ติดต่อผ่านทางเลือด สารคัดหลั่ง หรือจากแม่สู่ลูกขณะคลอด รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบชายรักชาย
- ไวรัสตับชนิดซี (Hepatitis C): ติดต่อผ่านทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการรับเลือดที่ปนเปื้อน
- ไวรัสตับชนิดดี (Hepatitis D): มักพบร่วมกับไวรัสตับชนิดบี ทำให้โรครุนแรงขึ้น
- ไวรัสตับชนิดอี (Hepatitis E): ติดต่อผ่านทางน้ำดื่มปนเปื้อนเชื้อ พบบ่อยในประเทศกำลังพัฒนา
อาการของไวรัสตับเป็นอย่างไร
อาการของโรคไวรัสตับอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสและความรุนแรงของโรค ในบางรายอาจไม่มีอาการแสดงออกมาเลย แต่โดยทั่วไปอาการที่พบบ่อย และเป็นสัญญาณว่า กำลังมีโรคเกี่ยวกับตับเกิดขึ้นในร่างกาย ได้แก่
- คลื่นไส้อาเจียน ร่วมกับปัสสาวะเหลืองเข้มขึ้น ตาขาวมีสีเหลืองเข้มขึ้น มักพบกับผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน เสี่ยงต่อการเป็นไวรัสตับชนิด เอ และ อี
- มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า แบบไม่ทราบสาเหตุ
- มีปัญหากับระบบย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เมื่อรับประทานอาหารมัน
- ปัสสาวะเปลี่ยนสี อาการนี้มักพบในผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน และ ท่อน้ำดีจากตับอุดตัน
- ดีซ่าน จะมีอาการปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา มักเกิดกับผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลัน รวมไปถึงท่อน้ำดีอุดตัน ตับแข็ง และ ไตวาย
- อาการคันโดยไม่พบตุ่มหรือผื่น มักพบในผู้ป่วยท่อน้ำดีอุดตัน ตับอักเสบบางชนิดที่ขับน้ำดีไม่ได้
- อาการปวด อืดแน่น บริเวณท้องด้านขวาบน หรือ เหนือสะดือ เป็นอาการจากการปวดตับ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
โรคไวรัสตับแหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น
- ตับอักเสบเรื้อรัง ตับอักเสบไม่หายขาด อาจนำไปสู่ตับแข็งและมะเร็งตับได้
- ตับแข็ง เนื้อเยื่อตับแข็งตัว ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
- มะเร็งตับ เซลล์ตับกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- ภาวะตับวาย ตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
การป้องกันในเบื้องต้น
การป้องกันเในเบื้องต้นเพื่อไม่ให้ติดเชื้อไวรัสตับ ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับชนิดต่างๆ ปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดีด้วยการล้างมือหรือทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ และ หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือ สารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
การดูแลรักษาผู้ป่วยโรค ไวรัสตับอักเสบ
หากใครที่ติดเชื้อไวรัสและเป็นผู้ป่วยแล้ว เราจะมาบอกวิธีที่ถูกต้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้ โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ การรักษาโดยแพทย์ และการดูแลด้วยตัวเอง
การรักษาโดยแพทย์
โดยปกติแล้วเมื่อเกิดการติดเชื้อไวรัสตับ ไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหน ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการในเบื้องต้น หากต้องการทราบว่าติดเชื้อระดับไหนแล้ว ต้องผ่านการตรวจเลือด หากตรวจพบว่าเป็นไวรัสตับต้องทำการรักษา โดยพบแพทย์เป็นระยะ และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ จะมียาใหม่ที่เรียกว่า DAAS ที่มีโอกาสรักษาให้หายขาดมากกว่า 90%
- สำหรับไวรัสตับชนิด C มีสิทธิ์หายได้ด้วยยามากกว่า 90% Sofosbuvir Velpatasvir เมื่อรับประทานยาต่อเนื่อง 12 สัปดาห์
เคล็ดลับการดูแลตัวเอง
สำหรับการดูแลตัวเองเมื่อเป็นผู้ป่วยติดเชื้อสามารถทำได้ ดังนี้
- ไม่ซื้อยารับประทานเอง ทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร อาหารเสริม หรือวิตามิน ซึ่งอาจจะส่งผลอันตรายต่อการทำงานของตับ
- ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายตับมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน โรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งและมะเร็งตับ
- ไม่รับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น เนื้อหมู อาหารทะเล ปลาร้า หรือปลาน้ำจืด ที่ไม่สุกซึ่งทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ หรือเกิดการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อนได้
- หลีกเลี่ยงอาหารมันและทอด เพราะอาหารเหล่านี้ถ้าได้รับในปริมานณที่มากจะมีผลทำให้มีไขมันมากเกิน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดทำให้เกิดไขมันสะสมตามร่างกายได้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้เกิดภาวะอ้วน รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันอาการไขมันพอกตับ
- ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี เพื่อประเมินว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเกี่ยวข้องกับตับหรือไม่ เนื่องจากโรคตับส่วนใหญ่ มักจะไม่แสดงอาการในช่วงแรก
รู้จักกับ ไวรัสตับอักเสบ และวิธีป้องกัน พร้อมการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีกันไปแล้ว ก็นำไปปรับใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคร้ายแรง และเพื่อให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ถ้าไม่อยากเป็น หันมาดูแลสุขภาพกันเยอะๆ นะ
บทความฉบับนี้เป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Infographic เรื่อง สัญญาณเตือนโรคในตับและท่อน้ำดี
(Link: https://www.medumore.org/infographic/Warning-signs-) ที่จัดทำโดย รศ. ดร. นพ.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
- กรดไหลย้อน คืออะไร ? เช็กให้ชัวร์อาการแบบไหนใช่กรดไหลย้อน
- อาการเวียนหัวบ้านหมุน สัญญาณเตือนโรคร้ายที่ต้องระวัง
- มะเร็งปอด โรคร้ายคร่าชีวิต รักษาอย่างไรให้อาการดีขึ้น
- รู้ทันอาการนำของ โรคพาร์กินสัน เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับ คอร์สเรียนแพทย์ ความรู้ทางการแพทย์ ได้ที่ Facebook: MDCU MedUMORE