โรคต้อลม ต้อหิน ต้อกระจกต่างกันไหม? อาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันที่คุณควรรู้

ต้อลม ต้อหิน และต้อกระจก - สามชื่อโรคที่เกี่ยวกับตาที่มักสร้างความสับสนให้กับหลายคน เนื่องจากมีคำว่า ต้อ เหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว โรคเหล่านี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคตาทั้งสามชนิดอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจและวินิจฉัยเบื้องต้นได้หากเกิดอาการผิดปกติทางสายตา มาเริ่มทำความเข้าใจกับโรค "ต้อ" ต่างๆ กัน

ต้อลม คืออะไร?

ต้อลม (Pinguecula) เป็นโรคที่เกี่ยวกับดวงตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเสื่อมของเยื่อบุตาขาว ทำให้เกิดแผ่นหรือตุ่มนูน อยู่บริเวณเยื่อบุตาขาว มักพบที่บริเวณหัวตา แต่ก็สามารถเกิดที่หางตาหรือทั้งสองตำแหน่งพร้อมกันได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ภาวะที่รุนแรงแต่สามารถทำให้เกิดความไม่สบายตาและระคายเคืองได้ โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง และยังสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย

สาเหตุของการเกิด ต้อลม

เกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เยื่อบุตาขาวเสื่อมสภาพและเกิดการสะสมของเนื้อเยื่อที่ไม่เป็นอันตราย และยังทำให้เกิดความไม่สบายตาซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับใครก็ได้ หากไม่ดูแลดวงตาให้ดี

- การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV): การโดนแสงแดดหรือรังสี UV ต่อเนื่องเป็นเวลานานถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรค

- ฝุ่นและลม: การสัมผัสกับฝุ่นละอองและลมบ่อย ๆ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้

- ภาวะตาแห้ง: การที่ดวงตาแห้งบ่อยครั้งสามารถส่งเสริมให้ต้อโตขึ้น

- อายุที่เพิ่มขึ้น: พบได้บ่อยในผู้สูงอายุวัยกลางคนขึ้นไป

- การใช้สายตาหนัก: การใช้สายตาอย่างหนัก เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงได้

อาการของต้อลม

อาการของที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ความรู้สึกระคายเคืองหรือแสบตา เหมือนมีเศษผงหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในดวงตา บางครั้งอาจมีอาการแดงและน้ำตาไหล ทำให้รู้สึกไม่สบายตาอย่างมาก และยังอาจทำให้มีอาการตาพร่ามัวหรือมองเห็นภาพไม่ชัดเจนในบางครั้ง เนื่องจากเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นบริเวณตาขาวอาจบดบังการมองเห็นได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม อาการตาพร่ามัวมักไม่รุนแรงและไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว ในบางรายอาจมีอาการคันหรือปวดตาร่วมด้วย ซึ่งอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ดังนั้น หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติที่ดวงตา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

การป้องกันของโรค

เราสามารถป้องกันโรคดังกล่าวได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันเล็กน้อย ก็สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้แล้ว เริ่มต้นด้วยการสวมแว่นกันแดดเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน แว่นกันแดดที่มีคุณภาพจะช่วยป้องกันรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อดวงตา หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองหรือควันมากเกินไป หากจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหรือควัน ควรสวมแว่นตาหรือหน้ากากเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา การรักษาความสะอาดของดวงตาอย่างสม่ำเสมอ โดยการล้างหน้าและเช็ดตาเมื่อสัมผัสกับฝุ่นจำนวนมาก

ต้อหินคืออะไร?

โรคต้อหิน (Glaucoma) เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของขั้วประสาทตาและเส้นใยประสาทตาโดยรอบที่บางลงอย่างมีลักษณะจำเฉพาะ ส่งผลให้เซลล์ประสาทตาฝ่อลง เป็นโรคที่ทําให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตาอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากความดันภายในลูกตาที่สูงผิดปกติ ทําให้เกิดการกดทับขั้วประสาทตา ทําให้เกิดการสูญเสียลานสายตาหรือความกว้างของการมองเห็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากบริเวณรอบนอกก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่อาการตามัวและอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้?

กลุ่มเสี่ยงของโรคต้อหินมักพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เป็นผู้ที่มีความดันลูกตาสูงเกินค่าปกติ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต้อหิน สายตาสั้นหรือยาวมาก เคยมีอุบัติเหตุทางตา และใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ

สาเหตุของการเกิดต้อหิน

โรคต้อหินเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้เส้นประสาทตาเสียหาย มักสัมพันธ์กับความดันในลูกตาที่สูงขึ้น สาเหตุหลักคือความผิดปกติในการระบายน้ำในตา ทั้งจากการอุดตันหรือการผลิตน้ำมากเกินไป พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญ โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้มีความเสี่ยงสูง ความผิดปกติทางกายวิภาคของตา เช่น มุมตาแคบหรือสายตาผิดปกติมาก ก็เพิ่มความเสี่ยง ปัจจัยภายนอก เช่น การบาดเจ็บที่ตาหรือการใช้ยาบางชนิดนาน ๆ ก็มีผล โรคอื่น ๆ โดยเฉพาะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือด มีความเชื่อมโยงกับโรคต้อหิน เนื่องจากส่งผลต่อสุขภาพตาและความดันในลูกตา นอกจากนี้ ภาวะเครียดก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคนี้ได้เช่นกัน

อาการของต้อหิน

โรคต้อหินเป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ โดยประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคต้อหินจะไม่แสดงอาการในช่วงแรก ไม่ปวด ไม่เจ็บ แต่จะแสดงอาการที่ชัดเจนเมื่อโรคเข้าสู่ระยะท้าย เมื่อการมองเห็นแย่ลงมาก การมองเห็นรอบข้างเเย่ลง ถ้าเป็นมากการมองเห็นในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็จะเสียไปจนมองไม่เห็นเลย หรือ สังเกตได้ว่ากระจกตาที่มีความขาวขุ่น อย่างไรก็ตาม โรคต้อหินสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ ชนิดเรื้อรังและชนิดเฉียบพลัน

อาการของโรคต้อหินชนิดเรื้อรัง (พบบ่อย)

- การมองเห็นทั่วไปแย่ลง ผู้ป่วยจะเริ่มสังเกตเห็นว่าการมองเห็นของตนเริ่มลดลง ซึ่งการมองเห็นอาจมีความคลุมเครือหรือไม่คมชัดเท่าที่เคยเห็น

- การมองเห็นรอบข้างลดลง อาจไม่เห็นวัตถุด้านข้าง ทำให้เสี่ยงต่อการเดินชนสิ่งกีดขวาง บาดเจ็บ หกล้มได้

- การมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้ามีอาการมากการมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็จะเสียไปจนมองไม่เห็นเลย

- กระจกตาอาจมีลักษณะขาวขุ่น โรคต้อหินอาจทำให้เกิดการอักเสบกับดวงตาส่งผลให้กระจกตาเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีลักษณะขาวขุ่นได้

อาการของโรคต้อหินชนิดเฉียบพลัน (พบน้อยกว่า)

- ตาแดงและปวดตาอย่างรุนแรง

- การมองเห็นมัวลง

- มองเห็นแสงจ้ารอบดวงไฟ

- ปวดศีรษะรุนแรงข้างเดียวกับตาที่มีอาการ

- อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

การป้องกันของโรค

การพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง การพบแพทย์อย่างเป็นประจำช่วยให้สามารถตรวจสอบสภาพของตาและปัญหาจากสุขภาพตาอื่นๆ หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนรุนแรงที่ดวงตา และระวังการใช้ยาหยอดที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ รวมถึงการเกิดต้อหิน, การติดเชื้อที่ตา, และความเสียหายต่อกระจกตา

โรคต้อหิน หากตรวจพบได้โดยเร็วหรือพบโรคได้ในระยะเริ่มต้น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาควบคุมโรคได้เร็วขึ้น และป้องกันไม่ให้สูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรงได้

ต้อกระจกคืออะไร?

โรคต้อกระจก (Cataract) คือภาวะที่เลนส์ตาเกิดความขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างปกติ ส่งผลให้การมองเห็นลดลง เกิดจากการเสื่อมสภาพของโปรตีนในเลนส์ตาตามอายุที่มากขึ้น และยังสามารถพบโรคต้อกระจกในเด็กได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้การมองเห็นมัวลง เห็นภาพไม่ชัด สีซีดจาง หรือเห็นแสงจ้าเกินปกติ อาการค่อยๆ เป็นมากขึ้นอย่างช้าๆ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

สาเหตุของการเกิดต้อกระจก

สาเหตุหลักของการเกิดต้อกระจกคือความเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุ อย่างไรก็ตาม ต้อกระจกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม การได้รับบาดเจ็บที่ตาอย่างรุนแรง การสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ การใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน หรือการมีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่เด็กอาจเกิดต้อกระจกตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเรียกว่าต้อกระจกแต่กำเนิด

อาการของโรคต้อกระจก

อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ มองเห็นไม่ชัดตามัวเหมือนมีหมอกหรือฝ้าบัง โดยเฉพาะในที่แสงจ้าหรือในตอนกลางวัน แต่กลับเห็นชัดกว่าในตอนกลางคืน บางรายอาจเห็นภาพซ้อน สายตาพร่า ส่งผลให้ตาสั่น ตาเข ตาเหล่ สู้แสงไม่ได้ มองเห็นวงๆ รอบแสงไฟ หรือ อาจพบว่ามีสายตาสั้นขึ้น หรือบุคคลที่ต้องเปลี่ยนแว่นตาบ่อย ในช่วงแรกการสวมแว่นตาอาจช่วยให้มองเห็นชัดขึ้นได้ แต่เมื่ออาการเป็นหนักมากขึ้น แม้จะใส่แว่นแต่ก็ไม่สามารถช่วยให้การมองเห็นชัดขึ้น

การป้องกันของโรค

การป้องกันโรคต้อกระจกสามารถทำได้โดยสวมแว่นตากันแดดเพื่อป้องกันการสัมผัสกับแสง UV โดยตรง ระวังการใช้ยาหยอดที่มีสเตียรอยด์โดยไม่ปรึกษาแพทย์เช่นกัน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ จัดสภาพแวดล้อมต่างๆให้เหมาะสม เช่น โต๊ะทำงาน ให้มีแสงสว่างเพียงพอ ระยะในการมองเห็นที่อยู่ในระดับพอดี เวลาใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานานๆก็ควรพักสายตาเป็นระยะๆ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องจากตา

การเกิดโรคต้อกระจกในเด็ก

โรคต้อกระจกไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในเด็กด้วย สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ความผิดปกติทางพันธุกรรม เกิดร่วมกับความผิดปกติทางตาอื่นๆ ทำให้การมองเห็นของเด็กมีปัญหา โรคนี้อาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาการมองเห็นและการเรียนรู้ของเด็ก หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจส่งผลต่อการพัฒนาการมองเห็นอย่างถาวร

ผู้ปกครองควรเฝ้าระวังอาการรูม่านตาเป็นสีขาว ตาสั่น ตาเข หรือตาเหล่ ซึ่งเด็กไม่จ้องตามสิ่งของ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงพัฒนาการการมองเห็นที่ไม่เป็นไปตามวัย

คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง

- หากมีอาการข้างต้น ควรพาเด็กไปพบจักษุแพทย์โดยเร็ว เพราะการตรวจพบเร็วนับว่ามีความจำเป็นเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

- เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคต้อกระจกควรได้รับการผ่าตัดรักษาโดยเร็ว เพื่อที่จะสามารถให้การดูแลรักษาภาวะสายตาขี้เกียจซึ่งมักพบร่วมกับต้อกระจกในเด็กได้อย่างทันท่วงที

- การดูแลและฟื้นฟูพัฒนาการด้านการมองเห็นหลังผ่าตัด มีความสำคัญมาก ประกอบด้วย การใส่แว่นตา การปิดตาข้างดีเพื่อรักษาภาวะสายตาขี้เกียจ ซึ่งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองเป็นอย่างมาก รวมทั้งควรพบแพทย์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็กจนโต เพื่อติดตามอาการและพัฒนาการด้านการมองเห็น

โรคต้อทั้ง 3 แตกต่างกันไหม?

โดยสรุปแล้วโรคต้อกระจก ต้อหิน และ ต้อลม มีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของสาเหตุ อาการ และการรักษา ต้อกระจกเกิดจากเลนส์ตาขุ่นมัวตามวัย ทําให้การมองเห็นพร่ามัว และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม ต้อหินเกิดจากความดันในลูกตาสูงผิดปกติ ทําให้เส้นประสาทตาเสียหายและลานสายตาแคบลง การรักษาเน้นการควบคุมความดันตาด้วยยาหยอดหรือการผ่าตัด ส่วน ต้อลม หรือ ต้อเนื้อเกิดจากความเสื่อมของเยื่อบุตาที่ถูกกระตุ้นจากแสงแดด ทําให้เกิดก้อนเนื้อบริเวณตาขาว สามารถรักษาได้ด้วยยาหยอดหรือการผ่าตัดในกรณีที่รุนแรง

บทความฉบับนี้เป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Infographic เรื่อง โรคต้อหิน ตรวจพบไว รักษาได้ ตาไม่บอด

(Link: https://www.medumore.org/infographic/Glaucoma) ที่จัดทำโดย รศ.พญ.วิศนี ตันติเสวี

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

- ออฟฟิศซินโดรม โรคที่รบกวนการใช้ชีวิตของคนทำงาน

- เคล็ดไม่ลับห่างไกลภาวะหัวใจล้มเหลว ทำอย่างไร?

- อาการเวียนหัวบ้านหมุน สัญญาณเตือนโรคร้ายที่ต้องระวัง

- โรคพุ่มพวงคืออะไร? อาการที่พบบ่อยในระยะแรกที่เริ่มเป็น

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับ คอร์สเรียนแพทย์ ความรู้ทางการแพทย์ ได้ที่ Facebook: MDCU MedUMORE