มารู้จักโรคเกาต์ สัญญานอาการ ต้องกินอาหาร และรักษาอย่างไร
เมื่อโรคเกาต์มาเยือน สิ่งแรกที่ควรตระหนักคือการยกระดับการดูแลสุขภาพของตนเอง โดยใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น บทความนี้จึงนำเสนอแนวทางการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมสำหรับผู้ป่วย โรคเกาต์ พร้อมแนะนำวิธีปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์แบบง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการกำเริบ อย่าปล่อยให้โรคเกาต์กลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต! ด้วยความรู้และการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง คุณสามารถควบคุมอาการ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างแน่นอน
ทำความรู้จัก โรคเกาต์ คืออะไร ?
โรคนี้เป็นหนึ่งในโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูงเกินไป เมื่อกรดยูริกสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะไปตกผลึกตามข้อต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้ออย่างกะทันหัน บางครั้งอาจมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการมักจะหนักหนาสาหัสใน 12-24 ชั่วโมงแรก ทำเอาคนไข้ทรมานไม่น้อย นอกจากข้อแล้ว กรดยูริกยังอาจไปสะสมที่ไต ทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือไตวายเรื้อรังได้อีกด้วย โรคเกาต์ มักพบในผู้ชายอายุ 35 ปีขึ้นไป และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะเป็นไม่ได้ ใครๆ ก็มีโอกาสเป็นได้
สัญญาณ และอาการของโรคเกาต์
โรคเกาต์ มีสัญญาณ และอาการหลักที่สังเกตได้ชัดเจน โดยเฉพาะการอักเสบของข้อแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักเกิดขึ้นที่ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด บวม แดง และร้อนบริเวณข้อที่อักเสบอย่างรุนแรง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงแรก ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกทรมานอย่างมาก
ข้อที่อักเสบจะร้อนและปวดรุนแรงมาก จนแม้แต่แรงกดเบา ๆ จากผ้าปูที่นอน ก็ทำให้เจ็บปวดได้ อาจมีอาการ อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ โดยแต่ละครั้งอาจกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่วัน ไปจนถึงสองสัปดาห์ ผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคเกาต์ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ต้องกินอาหารอย่างไร
ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรระมัดระวังเรื่องการเลือกรับประทานอาหาร และเครื่องดื่ม เพื่อช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือด และบรรเทาอาการของโรค การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกำเริบของโรค เรามีคำแนะนำ 4 ข้อ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ เนื้อแดง และเครื่องในสัตว์
อาหารกลุ่มนี้มีสารพิวรีนสูง ซึ่งร่างกายจะย่อยสลายเป็นกรดยูริก ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยควรลดปริมาณการรับประทานเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ และอาหารทะเล รวมถึงหลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต และหัวใจ แทนที่ด้วยโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น อกไก่ หรือปลา
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ มีผลต่อการเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดอย่างมาก การงดดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกำเริบของโรคเกาต์ได้อย่างมาก หากไม่สามารถงดได้ ควรจำกัดปริมาณการดื่มให้น้อยที่สุด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีฟรุกโตสเป็นส่วนประกอบ
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม และน้ำผลไม้ที่เติมน้ำตาล สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดได้ รวมถึงนมที่มีไขมันสูง ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน แทนที่ด้วยการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการของโรคเกาต์ได้เช่นกัน
- เลือกอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยลดระดับกรดยูริก
มีอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่ช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้ เช่น นมไขมันต่ำ โยเกิร์ตไขมันต่ำ อาหารที่มีวิตามินซีสูง และเชอร์รี โดยเฉพาะเชอร์รีเปรี้ยว มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและระดับกรดยูริกได้ การเพิ่มอาหารเหล่านี้ในมื้ออาหารประจำวันจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคเกาต์ จัดการกับอาการของโรคได้ดีขึ้น การลดน้ำหนัก นอกจากการควบคุมอาหารดังกล่าวข้างต้นแล้ว สำหรับผู้ป่วยที่อ้วน หรือมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้
ยาสำหรับรักษาโรคเกาต์
ยาสำหรับรักษาโรคเกาต์ มีสองแนวทางหลัก คือการบรรเทาอาการอักเสบเฉียบพลัน และการป้องกันการสะสมของกรดยูริก ในช่วงที่มีอาการปวดบวมรุนแรง แพทย์มักจะสั่งยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อลดอาการปวด และบวม ยากลุ่มนี้ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นได้เร็ว แต่ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
ส่วนการรักษาระยะยาวนั้น แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดกรดยูริก เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยาเหล่านี้ช่วยป้องกันการเกิดผลึกกรดยูริกในข้อ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวด อย่างไรก็ตาม การรับประทานยาอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารด้วย
โรคที่มีโอกาสพบร่วมกับโรคเกาต์?
เมื่อเราเป็น โรคเกาต์ เราอาจจะพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยเกาต์มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเหล่านี้ การดูแลรักษาจึงต้องครอบคลุมทั้งโรคเกาต์และโรคร่วมอื่นๆ ไปพร้อมกัน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งจากโรคเบาหวานและโรคเกาต์
คำแนะนำจากแพทย์
การดูแลรักษา โรคเกาต์ ไม่เพียงแต่ต้องพึ่งพายาทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างองค์รวม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักอย่างเป็นระบบจะช่วยบรรเทาอาการและลดความเสี่ยงของโรคร่วมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนเป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว การดูแลตนเองด้วยความใส่ใจและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะเป็นหนทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมและจัดการกับโรคเกาต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
by ผศ.นพ.สิทธิชัย อุกฤษฏชน(Author)
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
- ออฟฟิศซินโดรม โรคที่รบกวนการใช้ชีวิตของคนทำงาน
- รู้ทันอาการนำของ โรคพาร์กินสัน เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
- เช็กให้ชัวร์ ! อาการใจสั่น สัญญาณเตือนโรค หรือแค่ความเครียด
- ไมเกรน คือ อะไร ปวดหัวไมเกรน เข้าใจและรับมือให้ถูกวิธี
ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับ คอร์สเรียนแพทย์ ความรู้ทางการแพทย์ ได้ที่ Facebook: MDCU MedUMORE