อาการของอาหารเป็นพิษที่คุณอาจไม่รู้ และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง
อาหารเป็นพิษ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต หรือสารพิษที่เกิดจากอาหารบูดเสีย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง โดยในบางกรณีอาการอาจไม่ชัดเจนหรือถูกมองข้าม ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยส่วนใหญ่แล้วอาการอาหารเป็นพิษมักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน และมีอาการที่หลากหลายอาจแตกต่างกันในแต่ละคน
ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการอาหารเป็นพิษที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว รวมถึงวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากโรคนี้กัน
อาการ อาหารเป็นพิษ ที่คุณอาจไม่รู้ตัว
โดยปกติหลังจากทานอาหารแล้ว เมื่อเกิดอาการ อาหารเป็นพิษ หลายคนมักสังเกตเห็นอาการที่ชัดเจนของภาวะนี้ได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือปวดท้อง อย่างไรก็ตาม ยังมีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นแต่ไม่เป็นที่สังเกตหรืออาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคอื่น ๆ ได้ ดังนี้
1. อาการปวดศีรษะและเวียนศีรษะ
อาหารเป็นพิษอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่จากอาการอาเจียนหรือท้องเสีย ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะและเวียนศีรษะได้ นอกจากนี้ แบคทีเรียบางชนิด เช่น Clostridium botulinum อาจสร้างสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และมึนงง
2. อ่อนเพลียและไม่มีแรง
เมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับการติดเชื้อ จะมีการใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย นอกจากนี้ การสูญเสียน้ำและสารอาหารจากอาการท้องเสียหรืออาเจียนจากอาหารเป็นพิษที่อาจมีมากกว่า 8-10 ครั้งต่อวัน อาจทำให้ร่างกายอ่อนแรงจนรู้สึกหมดแรงแม้ไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก
3. ไข้และหนาวสั่น
ภาวะไข้หนาวสั่น เป็นกลไกของร่างกายที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค ดังนั้นเมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษ ร่างกายอาจตอบสนองโดยการเพิ่มอุณหภูมิ ส่งผลให้เกิดไข้ร่วมกับอาการหนาวสั่น ซึงอาการนี้มักเกิดขึ้นควบคู่กับอาการอ่อนเพลีย ซึม ไม่มีแรง และบางคนอาจมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
4. ปัสสาวะมีสีเข้ม
เมื่อต้องขับของเสียออกจากร่างกายติดต่อเป็นหลายครั้งต่อวัน ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำซึ่งจะสังเกตให้ได้จากปัสสาวะที่มีสีเข้มผิดปกติ หรือในบางคนก็ไม่ปัสสาวะเลยติดต่อกันเป็นเวลานาน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
5. ปวดท้องเป็นช่วง ๆ
อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นแบบเป็น ๆ หาย ๆ อาจเกิดจากลำไส้พยายามบีบตัวเพื่อกำจัดเชื้อโรค หรือเกิดจากอาการกระเพาะและลำไส้อักเสบที่มักมาพร้อมกับการติดเชื้ออาหารเป็นพิษ
6. ปากแห้งและขาดน้ำ
อาการอาหารเป็นพิษมักทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำจากอาการท้องเสียและอาเจียน หากไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ โดยมีอาการเช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย และรู้สึกมึนงง
7.การมองเห็นผิดปกติ
แบคทีเรียบางชนิด เช่น Clostridium botulinum สามารถผลิตสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการมองเห็นไม่ชัด หนังตาตก หรือกลืนลำบากได้ หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการอื่น ควรรีบพบแพทย์ทันที
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของอาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษ คือ ภาวะที่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารโดยตรง ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นการทานอาหารดิบ แต่ความจริงแล้วภาวะนี้ยังเกิดจากการรับประทานอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น
- อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
- อาหารกระป๋องที่มีรอยบุบ รั่ว หรือขึ้นสนิม ของหมักดอง
- อาหารที่มีแมลงวันตอม
- อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสม แล้วทิ้งตากอากาศไว้หลายชั่วโมง
- อาหารรสจัด ทั้ง เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด
- อาหารที่ปรุงสุกมาเป็นเวลานานและไม่มีการอุ่นก่อนทาน
- อาหารที่ไม่สะอาด หรือการใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์และผักร่วมกัน
- น้ำแข็งที่ไม่สะอาด
วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษ
สำหรับอาการอาหารเป็นพิษนั้นเมื่อเป็นแล้วจะสามารถหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยการรักษาที่เหมาะสมคือ การรักษาตามอาการ เช่น รับประทานเกลือแร่ทดแทนการขาดน้ำ อ่อนเพลีย ทานยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน หากยังมีอาการท้องเสียอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่มีไข้อ่อนเพลียแล้วก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือของหมักดอง และควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาด และเมื่ออาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงภาวะอาหารเป็นพิษ
เพื่อป้องกันอาการ อาหารเป็นพิษ เราควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยและการเลือกบริโภคอาหารอย่างปลอดภัย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
1. ล้างมือให้สะอาด
การล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอเป็นวิธีที่ง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากมือสู่ปาก ควรล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหาร หลังจากใช้ห้องน้ำ และหลังสัมผัสอาหารดิบ
2. ปรุงอาหารให้สุกทุกครั้ง
อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ อาหารทะเล ควรผ่านการปรุงสุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 75°C เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย และควรเลือกใช้ภาชนะที่สะอาดในการบริโภคอาหารทุกครั้ง
3. เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม
อาหารสดควรแช่เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5°C อาหารร้อนควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 60°C หลีกเลี่ยงการปล่อยให้อาหารอยู่ที่อุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง หากต้องนำมากินซ้ำจริง ๆ ให้อุ่นร้อน และไม่ควรเก็บไว้นานเกินหนึ่งวัน
4. แยกเก็บอาหารดิบและอาหารสุก
หากต้องเก็บอาหารที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว ควรมีช่องแยกเก็บระหว่างอาหารสุกและดิบในตู้เย็น และมีภาชนะปิดมิดชิด นอกจากนี้ควรแยกการใช้ภาชนะ เช่น เขียง และมีดสำหรับอาหารดิบและอาหารสุกจะช่วยลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนเชื้อโรค
5. ดื่มน้ำสะอาด
น้ำดื่มควรเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านการกรองหรือการต้มเพื่อฆ่าเชื้อโรค และหลีกเลี่ยงน้ำแข็งที่มาจากแหล่งที่ไม่แน่ใจว่าได้รับการผลิตอย่างถูกสุขอนามัย
อาหารเป็นพิษ สามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ บางอาการอาจไม่ชัดเจนและถูกมองข้าม การตระหนักถึงอาการที่เป็นไปได้ และการป้องกันที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการรุนแรง เช่น ท้องเสียรุนแรง อาเจียนไม่หยุด หรือไข้สูง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
บทความฉบับนี้เป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Infographic เรื่อง อันตรายร้ายแรงของอาหารเป็นพิษ
(Link: https://www.medumore.org/infographic/A95340)
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่
- รู้ไว้ปลอดภัยกว่า! โรคไวรัสตับอักเสบ ดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกวิธี
- โรคเบาหวาน ภัยร้ายที่ยิ่งรู้เร็วยิ่งลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
- แฮงค์หนักมาก! 7 อาการหลังดื่มแอลกอฮอล์ ที่ไม่ควรมองข้าม
- สัญญาณเตือนของครรภ์เป็นพิษ อาการที่คุณแม่ควรระวัง
ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับ คอร์สเรียนแพทย์ ความรู้ทางการแพทย์ ได้ที่ Facebook: MDCU MedUMORE