หลีกให้ไกลจากเชื้อร้าย! โรคฝีดาษลิง รู้จักเข้าใจ ป้องกันได้


ในช่วงที่ผ่านมา คงไม่มีใคร ไม่รู้จักโรคที่กำลังระบาดและกระจายเป็นวงกว้างอย่าง โรคฝีดาษลิง (Monkey MPOX) โรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษทั่วไป โรคนี้มักพบในหลายพื้นที่ของแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการรายงานผู้ป่วยฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เราจะมาทำความรู้จักกับฝีดาษลิงกัน หากเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จะมีแนวทางป้องกันตัวเองให้ไกลจากเชื้อร้ายนี้อย่างแน่นอน

โรคฝีดาษลิง คืออะไร?

โรคฝีดาษลิง (Monkey MPOX) หรือเรียกอีกชื่อว่า “โรคฝีดาษวานร” เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่ เนื่องจากวงการแพทย์รู้จักโรคนี้มากกว่า40 ปีแล้ว ที่มีการพบว่าติดเชื้อจากสัตว์สู่คนจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือ การรับประทานเนื้อสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ ในปัจจุบันฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก แม้โรคนี้จะมีอัตราเสียชีวิตต่ำ แต่เมื่อเป็นแล้วจะสร้างความเจ็บปวดทรมานให้แก่ร่างกายเป็นอย่างมาก

พาหะนำโรคและการติดต่อของฝีดาษลิง

สำหรับ โรคฝีดาษลิง มีอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และอาจกระจายเป็นวงกว้างได้ หากไม่มีการเฝ้าระวังหรือป้องกัน โดยสาเหตุของพาหะนำโรคและการติดต่อของฝีดาษลิง มีดังนี้

พาหะนำโรค: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู กระรอก กระต่าย ลิง และสัตว์ฟันแทะอื่นๆ ถือเป็นพาหะนำโรคของฝีดาษลิง

การติดต่อ: ฝีดาษลิงสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน และจากคนสู่คนได้ โดยวิธีการติดต่อที่พบบ่อย ได้แก่

- การสัมผัสโดยตรง สัมผัสกับตุ่มหนอง ผื่น หรือของเหลวจากตุ่มของผู้ป่วย หรือสัตว์ที่ติดเชื้อ และการข่วน

- การสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยฝีดาษลิงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม

- ติดเชื้อจากการสัมผัสสารคัดหลั่งโดยตรงเวลามีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะกลุ่มชายรักชายที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ

- สารคัดหลั่งทางเดินหายใจและช่องปากหากสัมผัสเป็นเวลานาน เช่น ผ่านการจูบ การมีเพศสัมพันธ์

- การสัมผัสกับวัสดุที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส สารคัดหลัง ผื่นแผลที่มีการติดเชื้อ

อาการของ โรคฝีดาษลิง

อาการของฝีดาษลิงมักจะเริ่มหลังจากรับเชื้อภายใน 5 วัน ผู้ป่วย 60% จะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย มีภาวะต่อมน้ำเหลืองโต ในระยะที่ 2 หลังมีไข้ จะมีผื่นขึ้นตามร่างกาย เริ่มจากใบหน้าแล้วค่อยๆ ลามไปยังส่วนอื่นๆ แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก และอวัยวะเพศจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นผื่นนูนแสบคัน ตุ่มหนองแตก ซึ่งเป็นช่วงของการแพร่เชื้อต่อไปได้

ความแตกต่างระหว่างฝีดาษลิงกับฝีดาษทั่วไป

ความรุนแรง: ฝีดาษลิงมักมีอาการไม่รุนแรงเท่าโรคฝีดาษทั่วไป การติดเชื้อจากคนสู่คนเกิดขึ้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับฝีดาษ (small pox)

อัตราการเสียชีวิต: อัตราการเสียชีวิตจากฝีดาษลิงต่ำกว่าฝีดาษทั่วไป ความรุนแรงต่อชีวิตอยู่ที่ร้อยละ 1-10 เท่านั้น โดยแบ่งความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต จาก 2 สายพันธุ์ คือ

- West African อัตราเสียชีวิตร้อยละ 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดทั่วไปในทวีปยุโรป

- Congo Basin อัตราการเสียชีวิตร้อยละ 10 พบในประเทศแถบแอฟริกากลาง

การติดเชื้อ: ฝีดาษลิง เกิดจากการติดเชื้อผ่านสัตว์ที่มีเชื้อได้โดยการถูกข่วน, กัด,การเตรียมอาหารจากเนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่มีเชื้อได้แก่ ผื่น แผลหรือ ตุ่มหนอง สะเก็ดที่ยังแห้งไม่หมด สารคัดหลั่งในทางเดินหายใจและช่องปาก การสัมผัสเสื้อผ้าหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งผื่นแผลที่มีการติดเชื้อ และหญิงตั้งครรภ์สามารถติดต่อเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้

โรคฝีดาษทั่วไป: ติดเชื้อแพร่กระจายจากคนสู่คนเท่านั้น ทั้งการหายใจจากละอองฝอยจากผู้ติดเชื้อที่ไอหรือจาม การสัมผัสผิวหนังที่ติดเชื้อจนกระทั่งสะเก็ดแห้งหลุดหมด และสารคัดหลั่งต่าง ๆ ตามของใช้เช่น เสื้อผ้าผ้าปูเตียงของผู้ติดเชื้อ

ลักษณะผื่น: ผื่นของฝีดาษลิงมักกระจายตัวมากกว่าและมีหลายระยะในเวลาเดียวกัน

วิธีการรักษาและแนวทางการป้องกันโรค

วิธีการรักษา: หากป่วยเป็นฝีดาษลิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการรักษาตามอาการ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ กรณีผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ อาจทำให้อาการของโรครุนแรงได้ รวมถึงมีการนำยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาฝีดาษคน มาใช้รักษาฝีดาษลิงในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แต่ประโยชน์และผลการรักษาจากการใช้ยาดังกล่าวยังไม่แน่ชัด

แนวทางการป้องกันโรค

- ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส ไอ จาม น้ำลายจากผู้ป่วยที่มีอาการ

- หากสัมผัสผู้ป่วยยืนยันหรือมีอาการต้องสงสัย ควรกักตัวสังเกตอาการ 3 สัปดาห์

- หมั่นล้างมือ หรือ ทำความสะอาดมือบ่อยๆ

- งดมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง เช่น กับคนแปลกหน้า หรือสถานที่เสี่ยงต่อโรค

- ฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษ ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อจากฝีดาษลิงได้

วัคซีนฝีดาษลิง มีหรือไม่ ควรฉีดตอนไหน

ในปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพป้องกันฝีดาษและฝีดาษลิงรุ่นที่ 3 ซึ่งลดผลข้างเคียงจากวัคซีนรุ่นเก่า คือวัคซีน MVA-BN(modified vaccinia Ankara-Bavarian Nordic) มีการรับรองให้ใช้ในยุโรป และอเมริกา ตั้งแต่ปี 2562 โดยการนำไวรัสวัคซีเนียมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลง มีความปลอดภัยมากขึ้น วัคซีนรุ่นนี้เตรียมไว้พร้อมใช้ หากเกิดการระบาดเป็นวงกว้าง

การฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง ควรฉีดเมื่อพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อ เช่น กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสฝีดาษลิง และบุคคลที่สัมผัสกับสัตว์ที่อาจเป็นพาหะนำโรค รวมถึงผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยฝีดาษลิงที่ได้รับการยืนยัน ควรฉีดวัคซีนภายใน 4 วัน หลังสัมผัสกับผู้ป่วย

โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะไม่รุนแรงเท่าโรคฝีดาษ แต่ก็สามารถสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วยและสังคมได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถป้องกันตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างมีประสิทธิภาพ


บทความฉบับนี้เป็นเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Infographic เรื่อง จับตา "ฝีดาษลิง" ...โรคที่ยังไม่หายไปและอาจกระจายเป็นวงกว้าง

(Link: https://www.medumore.org/infographic/Monkeypox1223) ที่จัดทำโดย รศ. นพ.โอภาส พุทธเจริญ

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

- เคล็ดไม่ลับห่างไกลภาวะหัวใจล้มเหลว ทำอย่างไร?

- รู้จัก วัณโรค โรคติดต่อที่รักษาได้ เผยวิธีการดูแลอย่างถูกต้อง

- มารู้จักโรคเกาต์ สัญญานอาการ ต้องกินอาหาร และรักษาอย่างไร

- รู้ไว้ปลอดภัยกว่า! โรคไวรัสตับอักเสบ ดูแลรักษาอย่างไรให้ถูกวิธี

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับ คอร์สเรียนแพทย์ ความรู้ทางการแพทย์ ได้ที่ Facebook: MDCU MedUMORE